จิตวิทยาการศึกษา : ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์
เพื่อให้เข้าใจทฤษฎีการจูงใจได้ดียิ่งขึ้น
ควรทราบถึงแนวความคิดของนักจิตวิทยากลุ่มต่างๆ เกี่ยวกับการจูงใจ
ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ ดังต่อไปนี้
1.นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ทัศนะเกี่ยวกับการจูงใจว่า เครื่องล่อหรือสิ่งล่อใจ (Incentive)
โดยเฉพาะรางวัลมีความสำคัญในการจูงใจบุคคลให้มีพฤติกรรมเกิดขึ้น
รางวัลที่ดีจะต้องสามารถดึงดูดใจบุคคลให้อยากกระทำ
และมีความพึงพอใจในรางวัลที่ได้รับหลังจากการกระทำเสร็จสิ้นลง
นักจิตวิทยากลุ่มนี้จึงให้ความสำคัญของกาสรจูงใจภายนอกมาก
2.นักจิตวิทยากลุ่มปัญญานิยม
นักจิตวิทยากลุ่มนี้คัดค้านทัศนะของกลุ่มพฤติกรรมนิยม
โดยอธิบายว่าพฤติกรรมทั้งหลายของบุคคลถูกกำหนดขึ้นมาจากความคิดของบุคคลเอง
ไม่ใช่เกิดจากอิทธิพลของรางวัล การลงโทษ หรือผลกรรมในอดีตที่ผ่านมา
โดยบุคคลได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าก่อนการกระทำหรือก่อนการมีพฤติกรรม
พร้อมทั้งย้ำว่าบุคคลจะถูกจูงใจให้เกิดพฤติกรรมไม่เฉพาะการถูกกระตุ้นจากสถานการณ์ที่มาจากภายนอกหรือเงื่อนไขทางร่างกาย
เช่น ความหิวหรือความกระหาย
แต่ยังรวมไปถึงการตีความของบุคคลที่มีต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วย
อีกทั้งมนุษย์ยังมีความกระตือรือร้น ความอยากรู้อยากเห็น
ฉะนั้นการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งทุ่มเทในการทำงานอย่างเต็มที่
อาจเป็นเพราะความสนุกสนานในงานที่ทำ
ต้องการความรู้ความเข้าใจและความสำเร็จในงานที่ทำได้ดี
นักจิตวิทยากลุ่มนี้จึงให้ความสำคัญของการจูงใจภายในมาก
3.นักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ทัศนะในการจูงใจไว้ว่า
การจูงใจเกิดจากพลังผลักดันภายใน หรือ ความต้องการจากภายในตัวบุคคล เช่น
ความต้องการขั้นสูงสุดของมาสโลว์ และอธิบายว่า
ความต้องกการของบุคคลจะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อไปสู่เป้าหมายที่สูงสุด เพื่อให้ผู้เรียนได้ทุ่มเทความพยายามและกำลังความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมด
เพื่อสนองความต้องการขั้นสูง เช่น ความภูมิใจ เป็นต้น
4.นักจิตวิทยากลุ่มการเรียนรู้ทางสังคม
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ทัศนะเกี่ยวกับการจูงใจว่า
การจูงใจมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการคือ
ความคาดหวังของบุคคลในการทำกิจกรรมให้ประสบผลสำเร็จ
กับคุณค่าของสิ่งตอบแทนหรือผลกรรมที่ได้รับหลังจากการกระทำเสร็จสิ้นลง
(คุณค่าของเครื่องล่อใจหรือสิ่งล่อใจ)
ทัศนะเกี่ยวกับการจูงใจของนักจิตวิทยากลุ่มนี้ เป็นการบูรณาการระหว่างทัศฯของกลุ่มพฤติกรรมนิยมกับกลุ่มปัญญานิยม
และย้ำว่าจะต้องมีทั้ง 2 องค์ประกอบ
จะขาดองค์ปรกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไม่ได้
จากทัศนะเกี่ยวกับการจูงใจของนักจิตวิทยาทั้ง
4 กลุ่ม
แสดงให้เห็นชัดว่าการจูงใจให้บุคคลการะทำสิ่งใดๆก็ตาม บุคคลอาจจูงใจของตนเอง
(การจูงใจภายใน) หรืออาจจูงใจโดยใช้สิ่งแวดล้อมภายนอกกระตุ้น (การจูงใจภายนอก)
หรืออาจใช้สองอย่างควบคู่กันไป
ทฤษฎีการจูงใจที่นักจิตวิทยาใช้อธิบายพฤติกรรม
และนำไปประยุกต์ใช้ในการกระทำ มีทั้งทฤษฎี ทางพฤติกรรมนิยม มนุษยนิยม ปัญญานิยม
และทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งทฤษฎีทั้ง 4 กลุ่มต่างก็มีบทบาทสำคัญในการศึกษาพฤติกรรมของบุคคล
แต่เนื่องจากพฤติกรรมของอบุคคลเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ยากต่อการเข้าใจ
จึงไม่มีทฤษฎีใดสามารถอธิบายพฤติกรรมของบุคคลได้ทุกอย่าง
จึงจำเป็นต้อเรียนรู้และทำความเข้าใจร่วมกันหลายๆทฤษฎี
ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะทฤษฎีการจูงใจที่สำคัญ ๆ
ซึ่งเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน ดังต่อไปนี้
ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์(Hierarchy of Needs)
อับราฮัม
มาสโลว์ (Abraham Maslow) เป็นผู้วางรากฐานจิตวิทยามนุษยนิยม
เขาได้พัฒนาทฤษฎีแรงจูงใจ ซึ่งมีอิทธิพลต่อระบบการศึกษาของอเมริกันเป็นอันมาก
ทฤษฎีของเขามีพื้นฐานอยู่บนความคิดที่ว่า
การตอบสนองแรงขับเป็นหลักการเพียงอันเดียวที่มีความสำคัญที่สุดซึ่งมีเบื้องหลังพฤติกรรมของมนุษย์
มาสโลว์มีหลักการที่สำคัญเกี่ยวกับแรงจูงใจ โดยเน้นในเรื่องลำดับขั้นความต้องการ
เขามีความเชื่อว่า
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีความต้องการอันใหม่ที่สูงขึ้นเมื่อความต้องการพื้นฐานได้รับการตอบสนอง
เช่น ความมั่นคงความปลอดภัย กินอิ่มนอนหลับ ความต้องการอื่นจะเข้ามาทดแทน
เป็นพลังซึ่งจูงใจให้ทำพฤติกรรม เช่น อาจเป็นความสำเร็จในชีวิต เป็นต้น
แรงจูงใจของคนเรามาจากความต้องการพฤติกรรมของคนเรามุ่งไปสู่การตอบสนอง ความพอใจ
มาสโลว์ แบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เป็น 5 ระดับ
ด้วยกัน ได้แก่
5.ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริงและพัฒนาศักยภาพของตน
4.ความต้องการที่จะรู้สึกว่าตนเองมีค่า
3.ความต้องการความรักและเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ
2.ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย
1.ความต้องการทางสรีระ
1.ความต้องการทางสรีระ(Physiological
Needs) หมายถึง
ความต้องการพื้นฐานของร่างกายซึ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ได้แก่ ความต้องการอาหาร
น้ำ อากาศ เสื้อผ้า ฯลฯ ความต้องการนี้เริ่มตั้งแต่วัยทารกกระทั่งถึงวัยชรา
มนุษย์ทุกคนมีความต้องการทางสรีระอยู่เสมอจะขาดไม่ได้
ถ้าอยู่ในสภาพที่ขาดร่างกายจะกระตุ้นให้บุคคลทำกิจกรรมขวนขวาย
เพื่อตอบสนองความต้องการ เหล่านี้ ถ้าต้องการในขั้นแรกนี้ไม่ได้รับการบำบัด
ความต้องการขั้นต่อไปก็จะไม่เกิดขึ้น
2. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety
Needs) หมายถึง
ความต้องการความมั่นคงปลอดภัยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
เพราะบุคคลไม่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการดำรงชีวิต เช่น การสูญเสียตำแหน่ง
การขาดแคลนทรัพย์สิน การถูกขู่เข็ญบังคับจากผู้อื่น มนุษย์จึงเกิดความต้องการความมั่นคงปลอดภัย
และหลักประกันชีวิต เช่น มีอาชีพที่มั่นคง มีการอมทรัพย์หรือสะสมทรัพย์
มีการประกันชีวิต ฯลฯ
3.ความต้องการความรักและเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ
(Love and belonging Needs) หมายถึง
ความต้องการที่จะเป็นที่รักของผู้อื่น และต้องการมีสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น
และเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ
เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมต้องการเพื่อนไม่ต้องการรู้สึกเหงา และอยู่คนเดียว
ดังนั้นจึงต้องการมีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น เป็นสมาชิกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น
กลุ่มครอบครัว กลุ่มที่ทำงาน กลุ่มเพื่อนบ้าน กลุ่มสันทนาการ เป็นต้น
ความรู้สึกผูกพันจะเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในกลุ่ม และสมาชิกของกลุ่มย่อมเกิดความรัก
ความเอาใจใส่ และยอมรับซึ่งกันและกัน
4. ความต้องการที่จะรู้สึกว่าตนเองมีค่า (Esteem
Needs) หมายถึง ความปรารถนาที่จะมองตนเองว่ามีคุณค่าสูง
เป็นที่น่าเคารพยกย่องจากทั้งตนเองและผู้อื่น
ต้องการที่จะให้ผู้อื่นเห็นว่าตนมีความสามารถ มีคุณค่า มีเกียรติ มีตำแหน่งฐานะ
บุคคลที่มีความต้องการประเภทนี้จะเป็นผู้ทีมีความมั่นใจในตนเอง
และรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่ามีประโยชน์
หากความรู้สึกหรือความต้องการดังกล่าวถูกทำลายและไม่ได้รับการนตอบสนองก็จะรู้สึกมีปมด้อย
สิ้นหวัง มองโลกในแง่ร้าย ต้องการสิ่งชดเชย
ถ้าเกิดความรู้สึกรุนแรงจะทำให้บุคคลนั้นเกิดความท้อถอยในชีวิต เป็นโรคประสาท
โรคจิต และอาจฆ่าตัวตายได้
5. ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริง
และพัฒนาศักยภาพของตน (Self-Actualization Needs) หมายถึง
ความต้องการที่จะรู้จักและเข้าใจตนเองตามสภาพที่แท้จริง
เพื่อพัฒนาชีวิตของตนเองให้สมบูรณ์ (Self-fulfillment) รู้จักค่านิยม
ความสามารถและมีความจริงใจต่อตนเอง ปรารถนาที่จะเป็นคนที่ดีที่สุดของตนเอง
มีสติในการปรับตัว เปิดโอกาสให้ตนเองเผชิญกับความจริงของชีวิต
และเผชิญกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ โดยคิดว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น
กระบวนการที่จะพัฒนาตนเองเต็มที่ตามศักยภาพของตนเองเป็นกระบวนการที่ไม่มีจุดจบ
ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่มนุษย์ทุกคนต้องการที่จะพัฒนาตนเองเต็มที่ตามศักยภาพ
มาส์โลว์ กล่าวถึง
ลำดับของความต้องการต่างๆ ของมนุษย์ว่า
ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตามความสำคัญและสามารถยืดหยุ่นได้
เมื่อความต้องการเบื้องต้นได้รับบำบัดแล้วมนุษย์จะให้ความสนใจกับความต้องการขั้นสูงขึ้นเป็นลำดับ
ความต้องการเหล่านี้เกิดเหตุผลที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ต้องการเติบโตและดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
มาส์โลว์ ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ ไว้ดังนี้
1. มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอ
และไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่ความต้องการได้รับการตอบสนองแล้ว
ความต้องการอย่างอื่นจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่เริ่มต้นตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
2. ความต้องการที่ไดรับการตอบสนองแล้ว
จะไม่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรมนั้นๆอีกต่อไป ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง
จึงจะเป็นสิ่งจูงใจพฤติกรรมของบุคคล
3. ความต้องการของมนุษย์จะเรียงกันเป็นลำดับขั้น
ตามความสำคัญ เมื่อความต้องการในระดับต่ำได้รับการตอบสนองแล้ว
มนุษย์จะให้ความสนใจกับความต้องการระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น