การพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development) หมายถึง
กระบวนการสร้างความเจริญเติมโตทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
ในโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดหรือขจัดปัญหาความยากจน
การว่างงาน การกระจายรายได้
พร้อมกับมีการเปลี่ยนแปลงสวัสดิการของสังคมไปในทางที่ดีขึ้น
โดยใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็นและต้องตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อสงวนทรัพยากรไว้ตอบสนองความจำเป็นของคนรุ่นต่อไปในอนาคตของการพัฒนาที่ยั่งยืน
เป้าหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจ
การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมีเป้าหมายสำคัญ
คือ ประชาชน ดังนี้
1. พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีกินดี
หรือมีสวัสดิการทางเศรษฐกิจสูงขึ้น
2. มีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ดี มีสวัสดิการทางสังคม หรือมีความปลอดภัยในสังคม
3. มีความพอใจและความสุขในการดำเนินชีวิต 4.4 สร้างความเป็นธรรมในสังคม
2. มีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ดี มีสวัสดิการทางสังคม หรือมีความปลอดภัยในสังคม
3. มีความพอใจและความสุขในการดำเนินชีวิต 4.4 สร้างความเป็นธรรมในสังคม
ความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ
การพัฒนาเศรษฐกิจมีความจำเป็นสำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน
เพราะสาเหตุดังนี้
1 การเพิ่มของจำนวนประชากรซึ่งไม่สมดุลกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงจำเป็นต้องพัฒนาคนและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ
คือ ประชากรมีความเป็นอยู่ที่ดีหรือมีสวัสดิการทางเศรษฐกิจสูงขึ้น
มีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบาย ได้ใช้สินค้าดีราคาไม่แพง
และมีบริการสนองความต้องการอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ เช่น การคมนาคมขนส่ง การสื่อสาร ที่อยู่อาศัย ฯลฯ
2 โครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม
และการเมือง มีลักษณะผูกขาดโดยคนส่วนน้อย
เกิดการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม และมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน
ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ รัฐสามารถช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมได้มากขึ้นอย่างมีคุณภาพ
เช่น คนยากจน คนพิการ เด็กกำพร้า คนชรา คนว่างงาน และผู้ประสบภัยพิบัติต่าง
ๆ เป็นต้น
3 ระบบเศรษฐกิจและสังคมของไทยเป็นระบบเปิด คือ
ต้องพึ่งทุนและการค้ากับต่างประเทศ รวมทั้งเปิดกว้างรับเทคโนโลยี
การสื่อสาร วัฒนธรรม การศึกษา และการปริโภคจากโลกตะวันตกอย่างเต็มที่
ทำให้สังคมไทยต้องเร่งพัฒนาตนเองให้สามารถแข่งขันและรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงในสังคมโลกได้
เพื่อมิให้ถูกเอาเปรียบ ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ ประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจจนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วส่งผลให้มีความมั่นคงทางการเมืองและการทหาร
มีกองทัพที่เข้มแข็ง ทำให้ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจหรืออิทธิพลของชาติมหาอำนาจ
4 การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ภัยแล้ง
อุทกภัย วาตภัย และภัยจากธรณีพิบัติ (แผ่นดินไหวและสึนามิ)
เป็นต้น รวมทั้งการเกิดโรคระบาด
เช่น ไข้หวัดนก ไข้เลือดออก ฯลฯ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ
คือ ประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจจนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วส่งผลให้มีความมั่นคงทางการเมืองและการทหาร
มีกองทัพที่เข้มแข็ง ทำให้ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจหรืออิทธิพลของชาติมหาอำนาจ
ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ ประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าจะเกิดผลดีต่อประชาชน
คือ
(1) มีมาตรการป้องกันภัยพิบัติต่าง
ๆ อย่างมีประสิทธิภาพสามารถควบคุมวิกฤตจากภัยธรรมชาติให้บรรเทาลงได้
(2) ช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงทีและช่วยให้ประชาชนดำรงชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย เช่น
มีงบประมาณสร้างเขื่อนประตูระบายน้ำ ศูนย์เตือนภัย
และสร้างบ้านที่อยู่อาศัยให้ผู้ประสบภัยพิบัติ เป็นต้น
5 ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศกำลังพัฒนามีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ต่ำกว่าเกณฑ์พื้นฐาน อันเนื่องมาจากปัญหาความยากจน
ทำให้ขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ รวมทั้งปัจจัย
4 ในการดำรงชีพ และไม่อาจเลือกอาชีพการงานได้
ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือ ประเทศที่พัฒนาแล้วและมีเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าส่งผลให้ประชาชนมีอาชีพและรายได้ดี
มีกำลังซื้อสูง ทำให้มีอิสระในการดำเนินชีวิตมากขึ้น
เช่นมีอิสระในการเลือกอาชีพตามความถนัดและความสนใจ ทำให้ชีวิตมีสุข
ปัจจัยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ
ประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเกิดจากความได้เปรียบในปัจจัยสำคัญ
2 ประการ คือ
1.
ปัจจัยทางเศรษฐกิจ มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยตรง
สรุปได้ดังนี้
(1) ที่ดิน มีพื้นที่ประเทศกว้างใหญ่
มีดินและน้ำอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำสายยาว
หลายสายไหลผ่านพื้นที่เพาะปลูก มีทรัพยากรป่าไม้ แร่ธาตุ
และมีทรัพยากรนันทนากร (แหล่งท่องเที่ยว) อย่างอุดมสมบูรณ์
(2) แรงงาน มีประชากรมีคุณภาพ มีการศึกษาดี
มีระเบียบวินัย และเคารพกฎหมายของบ้านเมือง
เป็นแรงงานมีฝีมือซึ่งผ่านการพัฒนาฝึกฝนทักษะเป็นอย่างดี
(3) ทุน มีเครื่องมือ เครื่องจักร
และนิคมอุตสาหกรรมที่ทันสมัย มีสาธารณูปโภคและปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจอื่น
ๆ ที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา
การสื่อสารและการคมนาคมขนส่ง เป็นต้น
รวมทั้งมีสถาบันการเงินเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญของผู้ประกอบการ
(4) เทคโนโลยี มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยนำวิทยาการหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการผลิตสินค้าทั้งภาคเกษตร
อุตสาหกรรม และบริการ
(5) ตลาด มีตลาดขนาดใหญ่รองรับผลผลิตอย่างกว้างขวาง ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ
ช่วยกระตุ้นให้การผลิตขยายตัว เกิดการจ้างงาน
และเกิดธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เช่น การขนส่งสินค้า
ประกันภัยสินค้า ทำป้ายโฆษณา
สิ่งพิมพ์ กล่องกระดาษและบรรจุภัณฑ์
2. ปัจจัยทางสังคม และการเมืองการปกครอง เป็นปัจจัยสนับสนุนให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ดังนี้
(1) สถาบันครอบครัว มีสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็ง มีความสามารถในการเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวและให้การศึกษาอบรมอย่างมีคุณภาพ
(2) โครงสร้างทางสังคมชนชั้นในสังคมไม่ยึดมั่นตายตัว ชนชั้นล่างหรือกลุ่มคนระดับรากหญ้าสามารถเปลี่ยนหรือเลื่อนฐานะทางสังคมได้ง่ายจากการศึกษาและอาชีพ
ทำให้เกิดชนชั้นกลางใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น วิศวกร ช่างฝีมือ
โปรแกรมเมอร์ ฯลฯ
ซึ่งเป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
(3) การเมืองการปกครอง และกฎหมายเป็นประเทศที่มีลักษณะดังนี้
มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง บ้านเมืองสงบเรียบร้อย
ไม่มีปัญหาความขัดแยงทางการเมืองภายในอย่างรุนแรง และมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ มีกฎหมายส่งเสริมการลงทุน คุ้มครองแรงงาน
คุ้มครองผู้บริโภค และสนับสนุนเกษตรกรในด้านราคาผลผลิต
เป็นต้น
เครื่องชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมและมีเสถียรภาพ
ส่งผลให้รายได้ที่แท้จริงเฉลี่ยต่อบุคคลเพิ่มสูงขึ้น และท้ายที่สุดทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น โดยสามารถวัดการพัฒนาเศรษฐกิจจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความอยู่ดีกินดีของประชาชน
ดังนี้
1. ดัชนีวัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแสดงถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เช่น
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
รายได้ประชาชาติ เป็นต้น
2.
ดัชนีวัดความอยู่ดีกินดีของประชาชนแสดงถึงระดับความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น
อัตราการอ่านออกเขียนได้ อายุเฉลี่ยของประชากร
อัตราการตายของทารก อัตราส่วนของแพทย์ต่อจำนวนประชากร
เป็นต้น ทั้งนี้ดัชนีชีวัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นดัชนีพื้นฐานเบื้องต้นที่จะสะท้อนภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
ดังนี้
(1) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
(Gross Domestic Product : GDP) เป็นตัวชี้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่นิยมใช้มากที่สุด
เพราะแสดงถึงความสามารถในการผลิตและการบริโภคของประเทศ
โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเป็นมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย
ซึ่งผลิตขึ้นโดยใช้ทรัพยากรภายในประเทศในรอบระยะเวลา
1 ปี
GDP : มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นโดยคนไทยและชาวต่างชาติโดยใช้ทรัพยากรของประเทศไทย
(2) ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
(Gross National Product : GNP)
แสดงถึง ความสามารถในการผลิต การบริโภคของคนไทยทั้งประเทศ
โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติเป็นมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย
ซึ่งผลิตขึ้นโดยคนไทยในประเทศและคนไทยในต่างประเทศ
GNP :GDP + รายได้สุทธิจากปัจจัยการผลิตต่างประเทศ
(3) รายได้ประชาชาติ
(National Income : NI)คือ มูลค่าของรายได้ที่ประชาชน
คนไทยในประเทศและคนไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศได้รับในช่วงระยะเวลา
1 ปีทั้งนี้รายได้ประชาชาติคำนวณจากผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
หักด้วยภาษีทางอ้อมและค่าเสื่อมราคา
NI : GNP – (ภาษีทางอ้อม +
ค่าเสื่อมราคา)
(4) รายได้เฉลี่ยต่อบุคคล
(Per Capita Income)คำนวณได้จากรายได้ประชาชาติ
หารด้วยจำนวนประชากร ซึ่งใช้เป็นดัชนีสำหรับเปรียบเทียบระดับความอยู่ดีกินดีของประชาชนของประเทศต่าง
ๆ
การวัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นส่วนหนึ่งของการวัดการพัฒนาเศรษฐกิจดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น อย่างไรก็ตาม
ในปัจจุบันมีแนวคิดการวัดความสุขมวลรวมประชาชาติ
(Gross National Happiness : GNH) ขึ้น เนื่องจากการพัฒนาที่ผ่านมามุ่งเน้นแต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
จนละเลยความสุขซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ยังไม่มีดัชนีวัดความสุขมวลรวมประชาชาติที่แน่นอนหรือชัดเจนในขณะนี้
แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการให้ความสำคัญกับความสุขของประชาชนมากกว่าการมุ่งเน้นแต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ประเทศที่เป็นผู้นำเสนอแนวคิดการวัดความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross
National Happiness : GNH) ขึ้นคือ
ประเทศภูฏาน โดยมีหลักการสำคัญ
4 ประการ คือ
1) การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
2) การอนุรักษ์และส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรม
3) การรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
4) การมีธรรมาภิบาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น